การลงโทษ FFP รุนแรงแค่ไหน? แมนซิตี้, เปแอสเช เคยโดนอะไรบ้าง?
ฟุตบอลยุคนี้ไม่ใช่แค่กีฬาในสนามอีกต่อไป แต่กลายเป็นธุรกิจใหญ่ที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล ทีมดังในยุโรปทุ่มเงินก้อนโตซื้อนักเตะระดับโลก จ่ายค่าเหนื่อยแพงลิบลิ่วเพื่อดึงดูดดาวดังเข้าทีม เรื่องนี้เองที่ทำให้ Financial Fair Play (FFP) เกิดขึ้น เพื่อดูแลให้ทีมใช้จ่ายแค่เงินที่หาได้จริงๆ แต่การควบคุมด้วยกฎนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หลายทีมพยายามหาทางเลี่ยง อยากใช้เงินแบบไม่อั้น ขณะที่บางทีมโดนลงโทษหนักจนกระทบอนาคต ทีมยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ก็เคยเจอปัญหาและโดนบทลงโทษจากเรื่องการเงินมาแล้ว เรามาดูกันว่าถ้าทีมไหนละเมิดกฎนี้จะโดน การลงโทษ FFP ยังไงบ้าง และกฎนี้จะรับมือกับพลังเงินของทีมใหญ่ได้จริงแค่ไหน
กฎ FFP คืออะไร และทำไมต้องมีบทลงโทษ?
กฎการเงินที่เปลี่ยนโฉมวงการฟุตบอลยุโรป
ถ้าพูดถึง Financial Fair Play (FFP) หลายคนอาจนึกถึงกฎที่ทำให้สโมสรฟุตบอลต้องคิดหนักทุกครั้งที่ควักเงินซื้อนักเตะ แต่จริงๆ แล้ว FFP ไม่ได้มีไว้แค่ให้สโมสรปวดหัว! มันคือกฎที่ยูฟ่าคิดขึ้นมาเพื่อหยุดวงจร “ใช้เงินก่อน-คิดทีหลัง” ที่เคยทำให้หลายทีมล้มละลายแบบไม่เหลือชิ้นดี เพราะฟุตบอลยุคนี้ เกมส์ที่เงินคือพระเจ้า ทีมใหญ่ๆ สามารถทุ่มเงินก้อนโตเพื่อซื้อนักเตะระดับโลกได้แบบไม่ต้องกังวล ส่วนทีมเล็กก็ได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม เพราะไม่มีทางสู้เงินได้ กฏนี้จึงถูกนำมาใช้เพื่อสร้างสมดุล ให้ทุกทีมต้องบริหารเงินอย่างมีวินัย และป้องกันไม่ให้สโมสรใช้จ่ายเกินตัวจนกลายเป็นหนี้ท่วมหัว
การลงโทษ FFP
FFP ไม่ใช่กฎที่ตั้งขึ้นมาเพื่อความสวยงามบนกระดาษ แต่ยูฟ่าตั้งใจให้มันเป็นเครื่องมือควบคุมไม่ให้สโมสรเล่นเกมส์การเงินแบบ “เสี่ยงตาย” สโมสรต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้จ่ายไปนั้นมาจากรายได้จริงๆ ไม่ใช่เงินอัดฉีดจากเจ้าของทีมที่อยากได้แชมป์แบบไม่สนโลก Financial Fair Play คือ แน่นอนว่า ทีมใหญ่ๆ ไม่ยอมง่ายๆ! บางทีมก็หาทางเลี่ยงกฎด้วยการเซ็นสัญญาสปอนเซอร์จากบริษัทที่เชื่อมโยงกับเจ้าของทีม หรือไม่ก็ขายนักเตะในราคาสูงลิ่วเพื่อปรับบัญชีให้ดูดี ยูฟ่าจึงต้องมีบทลงโทษที่เข้มงวด เช่น ปรับเงิน แบนซื้อนักเตะ หรือแม้แต่ตัดสิทธิ์แข่งในยุโรป เพื่อให้ทุกทีมรู้ว่า “กฎนี้มีไว้ใช้ ไม่ใช่มีไว้แห้ง”
สรุปแล้วสิ่งนี้ คือ กฎที่พยายามสร้างความยุติธรรมในวงการฟุตบอล แต่ในโลกที่เงินคือพลังสูงสุด มันก็ยังเป็นเกมส์ที่ทั้งสโมสรและยูฟ่าต้องเล่นกันต่อไป… และบทลงโทษก็คือเครื่องเตือนใจว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎ!
การลงโทษ FFP มีอะไรบ้าง? รุนแรงแค่ไหน?
เมื่อสโมสรละเมิดกฎ Financial Fair Play (FFP) ยูฟ่ามีบทลงโทษที่แตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของการกระทำผิด ซึ่งมีตั้งแต่ โทษปรับเงิน ไปจนถึงการถูกแบนจากการแข่งขันยุโรป สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า FFP ไม่ใช่แค่กฎที่มีไว้เพื่อขู่เท่านั้น แต่สามารถส่งผลกระทบอย่างแท้จริงต่อสถานะของสโมสรในวงการฟุตบอล
ระดับของ การลงโทษ FFP
1. ปรับเงินตามความผิด
เมื่อทีมทำผิดกฎ ยูฟ่าจะเริ่มจากการปรับเงินก่อนเป็นอันดับแรก โดยจะดูว่าทีมทำผิดหนักเบาแค่ไหน ถ้าทีมไหนใช้เงินเกินตัว ไม่มีรายได้มาหนุนหลัง ก็อาจโดนปรับหนักถึงหลายล้านยูโร อย่างที่เคยเกิดกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ เอซี มิลาน ที่โดนปรับไปหลายสิบล้านยูโรเพราะทำผิดกฎ FFP
2. จำกัดขนาดทีมในถ้วยยุโรป
ถ้าทีมยังดื้อทำผิดอีก ยูฟ่าก็จะเพิ่มดีกรีความเข้มข้นด้วยการไม่ให้ส่งรายชื่อนักเตะในทีมยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก หรือ ยูโรปาลีกได้เต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่ามันกระทบหนักมาก เพราะทีมต้องลงเตะในระดับทวีปด้วยขุมกำลังที่ไม่สมบูรณ์ อย่างที่ อินเตอร์ มิลาน และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยเจอมาแล้ว
3. สั่งห้ามซื้อนักเตะ
อีกบทลงโทษที่หนักหนาสาหัสคือการห้ามซื้อนักเตะใหม่เข้าทีม ทำให้ทีมไม่สามารถเสริมทัพได้ในช่วงตลาดซื้อขาย อย่างที่ บาร์เซโลนา เคยโดนห้ามเซ็นสัญญานักเตะใหม่ในบางช่วง เพราะมีปัญหาเรื่องการเงินที่เกี่ยวกับ FFP
4. แบนจากถ้วยยุโรป
บทลงโทษที่หนักที่สุดคือการโดนแบนไม่ให้ลงแข่งในรายการยุโรป อย่างที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยโดนยูฟ่าสั่งแบน 2 ฤดูกาลในปี 2020 เพราะทำผิดกฎ FFP แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็รอดไปได้เพราะชนะคดีอุทธรณ์ ส่วนทีมอย่าง กาลาตาซาราย และ เอซี มิลาน ก็เคยโดนแบนจากฟุตบอลยุโรปเพราะปัญหาการเงินเหมือนกัน
นอกจาก FFP แล้ว ยังมีเรื่องกฎเพดานค่าเหนื่อยที่เข้ามาช่วยควบคุมการใช้เงินของทีมต่างๆ เพื่อให้ทีมเล็กทีมใหญ่แข่งขันกันได้อย่างสมดุลมากขึ้น จะเห็นได้ว่า FFP ไม่ใช่แค่กฎที่มีไว้ขู่เฉยๆ แต่มันมีผลจริงๆ กับทีมที่ไม่ระวังเรื่องการใช้เงิน ถ้าทีมไหนใช้เงินเกินตัวโดยไม่สนใจกฎ ก็อาจต้องเจอบทลงโทษที่ทำให้พลาดโอกาสคว้าแชมป์ หรือถึงขั้นหลุดจากการแข่งขันระดับยุโรปไปเลยก็ได้
แมนซิตี้กับเปแอสเช เมื่อสองทีมดังที่เจอปัญหา
ถ้าให้นึกถึงทีมที่มักมีปัญหากับ FFP บ่อยๆ ก็คงต้องยกให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง นี่แหละ ไม่แปลกเลยที่สองทีมนี้จะโดนจับตามอง ก็ในเมื่อพวกเขามีเจ้าของทีมที่รวยระดับท็อปของโลก แถมยังชอบควักกระเป๋าซื้อนักเตะแบบไม่อั้น ซึ่งการใช้เงินแบบนี้ก็เลยทำให้ยูฟ่าต้องเข้ามาสอดส่องและจัดการกันหลายครั้ง
เรื่องราวของแมนฯ ซิตี้ที่หวิดโดนแบน
เมื่อปี 2020 วงการฟุตบอลต้องสะเทือนเมื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดนยูฟ่าลงดาบหนัก ด้วยการแบนไม่ให้ลงเล่นในยุโรปถึง 2 ฤดูกาล ข้อหาหนักๆ ที่โดน คือ การใช้เงินเกินตัวและพยายามปิดบังรายได้จากสปอนเซอร์เพื่อให้บัญชีดูดีขึ้น
ยูฟ่าชี้ว่า ทีมเรือใบสีฟ้าพยายามแต่งบัญชีให้รายรับพุ่งสูงเกินความเป็นจริง โดยเฉพาะเงินก้อนใหญ่จากสปอนเซอร์ที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนอาบูดาบี เจ้าของทีม แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ สโมสรได้ยื่นอุทธรณ์ไปที่ CAS และสุดท้ายก็สามารถพลิกสถานการณ์ รอดพ้น การลงโทษ FFP จากการโดนแบนมาได้อย่างหวุดหวิด แต่เรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ เพราะตอนนี้พรีเมียร์ลีกกำลังขุดคุ้ยข้อกล่าวหาถึง 115 ข้อที่เกี่ยวกับการละเมิดกฎการเงิน ซึ่งเรื่องนี้ยังคาราคาซังอยู่จนถึงทุกวันนี้ว่าจะลงเอยอย่างไร
เปแอสเช เมื่อทีมดังจากปารีสต้องเจอคำถามเรื่องการใช้เงิน
พูดถึงทีมที่มักมีข่าวเรื่อง FFP บ่อยๆ เปแอสเชต้องติดโผแน่นอน ย้อนกลับไปปี 2014 ทีมดังจากฝรั่งเศสเริ่มถูกยูฟ่าจับตาเป็นพิเศษ หลังจากที่พวกเขาไปเซ็นสัญญาสปอนเซอร์มูลค่าสูงลิบกับหน่วยงานของรัฐบาลกาตาร์ที่เป็นเจ้าของทีม ยูฟ่าไม่เชื่อว่ารายได้ที่แจ้งมานั้นสมเหตุสมผลกับมูลค่าทางการตลาด สุดท้ายเปแอสเชเลยโดนทั้งจำกัดโควต้านักเตะในแชมเปียนส์ลีก และยังโดนปรับอีกตั้ง 60 ล้านยูโร
แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น ปี 2018 เปแอสเชสร้างความตกตะลึงให้วงการลูกหนังด้วยการทุ่มเงินมหาศาลซื้อตัว เนย์มาร์ จากบาร์ซ่า ด้วยค่าตัว 222 ล้านยูโร ขึ้นค่าตัวนักเตะสูงสุดทำลายสถิติโลก แถมยังคว้า เอ็มบัปเป้ มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 180 ล้านยูโร รวมแล้วใช้เงินไปกว่า 400 ล้านยูโรในปีเดียว! ยูฟ่าถึงกับต้องเข้ามาสอบสวนอีกรอบว่าพวกเขาหาเงินมาจากไหน และทำไมถึงใช้จ่ายได้มากขนาดนี้โดยไม่ผิดกฎ FFP แม้สุดท้ายจะไม่โดนลงโทษหนัก แต่ก็ต้องยอมปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินไปพอสมควร
การที่เปแอสเชกล้าทุ่มเงินแบบไม่อั้นแบบนี้ ได้เปลี่ยนโฉมหน้าตลาดซื้อขายนักเตะไปตลอดกาล ทั้งพวกเขาและแมนฯ ซิตี้ กลายเป็นตัวอย่างของทีมที่ท้าทายขอบเขตของ FFP อยู่เรื่อยๆ แม้จะเคยโดนลงโทษมาแล้ว แต่ก็ยังหาทางออกได้เสมอ และยังคงเป็นทีมที่พร้อมควักกระเป๋าซื้อนักเตะคนไหนก็ได้ที่ต้องการ
กลุ่มทุนเจ้าของสโมสรกับการเลี่ยงกฎ FFP เงินถึงก็มีทางออกเสมอ
มหาเศรษฐีเจ้าของสโมสรกับการบริหารเงินแบบไร้ขีดจำกัด
วงการฟุตบอลในยุคนี้เปลี่ยนโฉมไปมาก จากที่เคยเป็นแค่กีฬาเพื่อความบันเทิง ตอนนี้กลายเป็นธุรกิจมูลค่ามหาศาลที่ดึงดูดมหาเศรษฐีจากทั่วโลกให้เข้ามาลงทุน พวกเขาทุ่มเงินก้อนโตเพื่อเปลี่ยนสโมสรให้แข็งแกร่งทั้งในและนอกสนาม แต่เมื่อมีกฎ Financial Fair Play (FFP) มาควบคุมการใช้จ่าย เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาจัดการกับข้อจำกัดพวกนี้ยังไง ลองดูตัวอย่างที่ชัดเจนอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด สามทีมที่มีเจ้าของรวยระดับโลก ทั้งหมดนี้มีประวัติน่าสนใจในการหาทาง “หลบ” หรือ “ปรับตัว” ให้เข้ากับกฎ FFP มาแล้วทั้งนั้น
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โมเดลธุรกิจระดับโลกของ City Football Group
แมนฯ ซิตี้ เป็นทีมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเกี่ยวกับการใช้เงินอย่างไร้ขีดจำกัด หลังจากที่ชีค มานซูร์ หนึ่งในกลุ่มทุนเจ้าของสโมสร เข้ามาเทกโอเวอร์สโมสรในปี 2008 พวกเขากลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในอังกฤษ และประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล แต่ก็หนีไม่พ้นการถูกตรวจสอบเรื่อง FFP
หนึ่งในวิธีที่ซิตี้ใช้ คือ การขยายธุรกิจฟุตบอลผ่าน City Football Group (CFG) ที่เป็นเครือข่ายของสโมสรฟุตบอลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เมลเบิร์น ซิตี้, นิวยอร์ก ซิตี้, มุมไบ ซิตี้ และทีมอื่นๆ อีกมากมาย โมเดลนี้ช่วยให้แมนฯ ซิตี้สามารถ หมุนเวียนเงินทุน, ทำสัญญาสปอนเซอร์ และกระจายรายรับ ได้อย่างแนบเนียน
ปารีส แซงต์-แชร์กแมง: มหาอำนาจแห่งวงการลูกหนังที่มาพร้อมทุนกาตาร์
เปแอสเชกลายเป็นทีมที่ถูกจับตามองในเรื่อง FFP มาตลอด นับตั้งแต่ Qatar Sports Investments (QSI) เข้ามาซื้อทีมในปี 2011 พวกเขาไม่เคยกลัวที่จะควักกระเป๋าซื้อนักเตะ ดึงตัวซูเปอร์สตาร์อย่าง เนย์มาร์, เอ็มบัปเป้ และ เมสซี เข้ามาร่วมทีมด้วยค่าตัวและค่าเหนื่อยมหาศาล สิ่งที่น่าสนใจ คือ วิธีที่พวกเขาจัดการกับกฎ FFP โดยเฉพาะการทำ สัญญาสปอนเซอร์กับบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลกาตาร์ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นการ “ปั่นตัวเลข” รายรับให้พองขึ้น เพื่อที่จะได้มีเพดานการใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามกฎ
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายใต้เจ้าของใหม่
เมื่อปี 2021 นิวคาสเซิลได้เปลี่ยนมือเจ้าของครั้งใหญ่ เมื่อกองทุน PIF จากซาอุดีอาระเบียเข้ามาซื้อกิจการ ส่งผลให้สโมสรแห่งนี้กลายเป็นทีมที่มีเจ้าของที่รวยที่สุดในพรีเมียร์ลีกไปโดยปริยาย แต่นั่นแหละครับ ถึงจะมีทุนหนา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทุ่มเงินได้ตามใจชอบ เพราะติดกฎการเงินของลีก นิวคาสเซิลจึงต้องปรับตัว โดยเดินตามรอยแมนฯ ซิตี้ ด้วยการค่อยๆ สร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ ดึงสปอนเซอร์ที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มทุน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของสโมสรอย่างเป็นระบบ
FFP เอาอยู่จริงไหม? หรือแค่เครื่องมือควบคุมทีมเล็ก?
ถ้าถามว่า FFP ทำงานได้ตามที่ตั้งใจไหม คำตอบคงไม่ใช่ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ง่ายๆ เพราะในโลกฟุตบอลยุคนี้ ทีมใหญ่ที่มีเงินหนาไม่เคยยอมให้กฎเกณฑ์มาขวางทางความสำเร็จของพวกเขา!
ทีมยักษ์อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยังคงใช้เงินได้อย่างอิสระ แม้จะอยู่ภายใต้กฎ FFP ก็ตาม พวกเขามีวิธีเล่นเกมส์การเงินที่ซับซ้อน เช่น การเซ็นสัญญาสปอนเซอร์กับบริษัทที่เชื่อมโยงกับเจ้าของทีม หรือการขายนักเตะในราคาสูงลิ่วเพื่อปรับสมดุลบัญชี บางครั้งก็ดูเหมือนว่า FFP เป็นแค่ “กฎที่เขียนไว้ให้แห้ง” สำหรับทีมเหล่านี้
แต่ในทางกลับกัน ทีมเล็กกลับถูก FFP กดไว้ไม่ให้โต เพราะพวกเขาไม่มีเครือข่ายธุรกิจหรือรายได้มหาศาลแบบทีมใหญ่ การลงทุนเพื่อเสริมทีมจึงทำได้อย่างจำกัด และบางทีมก็ต้องขายนักเตะดาวรุ่งเพื่อให้อยู่รอด สิ่งนี้ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า FFP ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมทีมใหญ่จริงๆ หรือแค่เป็นเครื่องมือกดดันทีมเล็กให้อยู่ในกรอบ?
ฟุตบอลยุคนี้ไม่ใช่แค่การแข่งกันเตะลูกบนสนาม แต่คือ สงครามการเงิน ที่ทีมใหญ่มีอาวุธครบมือ ส่วนทีมเล็กต้องดิ้นรนหาทางอยู่รอด FFP อาจเป็นกฎที่ตั้งใจดี แต่ในทางปฏิบัติ มันกลับกลายเป็นดาบสองคมที่สร้างความเหลื่อมล้ำมากกว่าจะลดช่องว่างสุดท้ายแล้ว คำถามที่ว่า FFP เอาอยู่จริงไหม? อาจไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เพราะในโลกที่เงินคือพลังสูงสุด กฎเกณฑ์ก็มักถูกบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม… และนี่คือความท้าทายที่ วงการฟุตบอลยังต้องหาทางออกกันต่อไป!
คำถามที่พบบ่อย
1. การละเมิดกฎ FFP มีบทลงโทษอะไรบ้าง?
บทลงโทษของ Financial Fair Play (FFP) มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการกระทำผิด สโมสรที่ใช้เงินเกินตัวหรือละเมิดกฎอาจได้รับโทษตั้งแต่ การปรับเงิน, การจำกัดจำนวนผู้เล่นที่ลงทะเบียนในฟุตบอลยุโรป, การห้ามซื้อนักเตะใหม่, การตัดแต้มในลีก ไปจนถึงการตัดสิทธิ์จากการแข่งขันระดับทวีป เช่น ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก หรือ ยูโรปาลีก ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เคยถูกยูฟ่าแบนจากการแข่งขันยุโรป 2 ปี แต่สามารถอุทธรณ์สำเร็จ
2. สโมสรใช้กลยุทธ์อะไรเพื่อเลี่ยงกฎ FFP?
หลายสโมสรที่มีเจ้าของเป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เช่น แมนฯ ซิตี้, เปแอสเช และ นิวคาสเซิล ใช้วิธีการเพิ่มรายรับจาก สปอนเซอร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าของสโมสร ทำให้มีเงินเข้าสโมสรในรูปแบบที่ดูเป็นทางการและสอดคล้องกับกฎ FFP นอกจากนี้ยังมีการทำสัญญาแบบพิเศษ เช่น การผ่อนจ่ายค่าตัวนักเตะเป็นงวดๆ (Amortization) หรือการสร้างเครือข่ายสโมสรฟุตบอล (Multi-club ownership) เพื่อกระจายรายรับและต้นทุน
3. ทำไมบางสโมสรถึงรอดพ้นจากบทลงโทษ FFP?
แม้ยูฟ่าจะมีกฎ FFP เพื่อควบคุมการเงินของสโมสร แต่ทีมใหญ่ที่มี ทีมกฎหมายระดับสูงและเครือข่ายทางธุรกิจแข็งแกร่ง มักสามารถหาช่องว่างทางกฎหมายเพื่ออุทธรณ์โทษหรือหาทางออกทางบัญชีให้ดูถูกต้องตามกฎ ตัวอย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่อุทธรณ์โทษแบนสำเร็จในปี 2020 หรือ เปแอสเช ที่ถูกตรวจสอบเรื่องดีลสปอนเซอร์จากกาตาร์ แต่ก็สามารถหลีกเลี่ยงบทลงโทษร้ายแรงได้
4. กลุ่มทุนเจ้าของสโมสรมีอิทธิพลต่อกฎ FFP หรือไม่?
แน่นอนว่า กลุ่มทุนขนาดใหญ่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลีกและยูฟ่า สโมสรที่มีเจ้าของเป็น กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) เช่น แมนฯ ซิตี้ (City Football Group), เปแอสเช (Qatar Sports Investments) และ นิวคาสเซิล (Public Investment Fund – PIF) มักได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างมหาศาล ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถต่อสู้กับบทลงโทษหรือหาทางเจรจากับองค์กรที่ออกกฎได้ ในบางกรณี กฎ FFP ถูกมองว่า เป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมทีมเล็กมากกว่าทีมใหญ่ เนื่องจากทีมที่มีทรัพยากรสูงสามารถหาทางเลี่ยงกฎได้ง่ายกว่า