สโมสรไหนทุบสถิติ ค่าตัวนักเตะสูงสุด ? รวมทีมสายเปย์ของยุโรป
ภาพตลาดนักเตะยุคนี้คล้ายการประมูลศิลปะระดับโลก ที่ทุกสโมสรยื่นซองประมูลด้วยตัวเลขที่ทำให้แฟนบอลถึงกับสะดุด! ไม่ว่าจะเป็น เนย์มาร์ ขึ้นแท่น ค่าตัวนักเตะสูงสุด กับดีล 222 ล้านยูโรสัญชาติกาตาร์ของปารีส แซงต์-แชร์กแมง ฟิลิปเป้ โกชิญโญ ที่แอตเลติโก มาดริดทุ่มเงินก้อนโต หรือ แจ็ค กรีลิช นักเตะล้านปอนด์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้—ตัวเลขเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนความสามารถบนสนาม แต่ยังเป็นสัญญาณว่า “กระเป๋าเงินลึก” ของสโมสรสามารถสั่นสะเทือนตลาดลูกหนังได้ทั้งทวีป
แต่เบื้องหลังสถิติค่าเหนื่อยที่พุ่งทะลุเมฆ กลับมีเกมการเงินที่ซับซ้อนกว่าที่คิด! สโมสรอย่าง แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี ถูกตั้งคำถามถึงรายได้มหาศาลจากสปอนเซอร์ลึกลับ ขณะที่ เรอัลมาดริด กับ บาร์เซโลนา ยังคงใช้แบรนด์ดึงดูดนักเตะระดับตำนานแบบไม่สะทกสะท้าน… แล้วทีมไหนคือ “ราชาแห่งการเปย์” ที่ไม่เคยกลัวคำว่าคุ้มค่า? ความจริงคือ ในสนามฟุตบอลยุคใหม่ “เงิน” คือกองหน้าตัวจริง ที่ตัดสินชะตาการแข่งขัน และนี่คือเรื่องราวของสโมสรที่พร้อมทุบสถิติตลาดนักเตะ… แค่กระดิกนิ้วก็สั่นคลอนสมดุลทั้งวงการ!
สโมสรที่ทุ่มเงินทุบสถิติ ค่าตัวนักเตะสูงสุด
เกมส์นี้ไม่ใช่แค่แข่งกันเตะลูก… สนามซื้อขายนักเตะ กลายเป็น “สงครามประมูล” ที่สโมสรยักษ์ใหญ่ทุ่มเงินกันแบบไม่ยั้งมือ! แค่ย้อนดู 5 ปีมานี้ ตัวเลขค่าตัวนักเตะก็พุ่งทะยานจนแฟนบอลแบบเราต้องลนลานถามว่า “เงินพวกนี้มาจากไหนฟะ?!” แต่ที่แน่ ๆ ทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนว่า “เงิน” คือ เชื้อเพลิงหลัก ของฟุตบอลยุคใหม่… แต่คำถามคือ แล้วเชื้อเพลิงนี้จะพาสโมสรไปถึงดวงดาว หรือกำลังจุดระเบิดเวลาทางการเงินไว้ใต้บัลลังก์? เพราะทุกสถิติที่ทุบได้ อาจกลายเป็นระเบิดหนี้ที่รอวันดีดพวกเขากลับลงมาสู่ความเป็นจริง!
5 ดีลสุดแพงในประวัติศาสตร์ฟุตบอล
เนย์มาร์ – ดีลมหาประวัติศาสตร์ที่สั่นสะเทือนวงการฟุตบอล (222 ล้านยูโร)
เมื่อปี 2017 ปารีส แซงต์-แชร์กแมง สร้างความตะลึงให้วงการลูกหนังด้วยการทุ่มเงินมหาศาลถึง 222 ล้านยูโร (ประมาณ 7,900 ล้านบาท!) เพื่อดึงตัวเนย์มาร์จากบาร์เซโลนา การย้ายทีมครั้งนี้ไม่เพียงทำลายสถิติ ค่าตัวนักเตะสูงสุด ที่มีมาก่อนหน้า แต่ยังเปลี่ยนโฉมหน้าตลาดซื้อขายนักเตะไปอย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้ราคานักเตะทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์!
เอ็มบัปเป้ – ดาวรุ่งมหาเทพผู้มาพร้อมค่าตัวระดับตำนาน (180 ล้านยูโร)
เปแอสเชแสดงให้เห็นถึงอำนาจทางการเงินอีกครั้ง! พวกเขาทุ่มเงินมหาศาลถึง 180 ล้านยูโรเพื่อคว้าตัวเอ็มบัปเป้ ดาวยิงอนาคตไกลจากโมนาโก ด้วยดีลที่เริ่มจากการยืมตัวในฤดูกาลแรก ก่อนจะซื้อขาดในฤดูกาลถัดมา การลงทุนครั้งนี้คุ้มค่าอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาได้คู่หูแนวรุกที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในทวีปยุโรป ผสานความเร็ว พลัง และทักษะระดับโลก!
คูตินโญ่ – ความหวังราคาแพงที่จบลงด้วยความผิดหวัง (145 ล้านยูโร)
บาร์เซโลนาตัดสินใจทุ่มเงินมหาศาล 145 ล้านยูโรเพื่อดึงตัวคูตินโญ่จากลิเวอร์พูล หวังให้เขามาเติมเต็มช่องว่างที่เนย์มาร์ทิ้งไว้ แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง… ฟอร์มการเล่นที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ นำไปสู่การถูกปล่อยยืมตัวให้กับบาเยิร์น มิวนิค และสุดท้ายต้องย้ายไปอยู่กับแอสตัน วิลล่า นับเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ผิดพลาดมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล!
เดมเบเล่ – ดีลมหากาฬที่กลายเป็นปริศนาของบาร์ซ่า (135 ล้านยูโร)
บาร์เซโลนายังคงพยายามหาตัวแทนเนย์มาร์อย่างต่อเนื่อง คราวนี้พวกเขาทุ่มเงิน 135 ล้านยูโรคว้าตัวเดมเบเล่จากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แต่โชคร้ายที่อาการบาดเจ็บไม่เคยให้เวลาเขาได้แสดงศักยภาพเต็มที่ อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้แฟนบอลแทบไม่มีโอกาสได้เห็นฟอร์มการเล่นระดับเทพที่ทุกคนรอคอย
อาซาร์ – ตำนานที่ไม่มีโอกาสได้เขียนที่ราชันชุดขาว (115 ล้านยูโร)
เรอัล มาดริดตัดสินใจทุ่มเงิน 115 ล้านยูโรคว้าตัวอาซาร์จากเชลซี ด้วยความหวังว่าเขาจะมาสืบทอดตำนานต่อจากคริสเตียโน โรนัลโด้ แต่โชคร้ายที่เขาต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ทั้งเรื่องความฟิต และอาการบาดเจ็บที่รุมเร้าไม่เว้นแต่ละฤดูกาล จนสุดท้ายไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกอย่างที่แฟนบอลและสโมสรคาดหวังเอาไว้
แนวโน้มค่าตัวนักเตะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ค่าตัวนักเตะพุ่งทะยาน! เงินสะพัดในวงการลูกหนังยุคใหม่
ย้อนกลับไปสัก 10 ปีก่อน ใครจะเชื่อว่าค่าตัวนักเตะ 100 ล้านยูโรจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว? แต่นี่คือความจริงในยุคนี้ที่ดาวดังระดับท็อปมีราคาแพงลิ่ว มาดูกันว่าอะไรทำให้ตัวเลขพุ่งขึ้นแบบไม่หยุด
- เม็ดเงินจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดทะลักเข้าสโมสร ยิ่งมีคนดูเยอะ เงินก็ยิ่งไหลเข้า สโมสรก็มีกำลังซื้อมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
- มหาเศรษฐีตะวันออกกลางบุกวงการ แต่ละทีมแข่งกันทุ่มเงินซื้อนักเตะ ราคาก็เลยพุ่งกระฉูดแบบไม่มีเบรก
- อยากได้แชมป์ต้องจ่ายหนัก สโมสรที่หวังความสำเร็จแบบด่วนๆ ก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายแบบไม่อั้น เพื่อให้ทันคู่แข่ง
กฎการเงินเริ่มมาคุมเข้ม! สโมสรต้องระวังตัวมากขึ้น
ถึงตลาดนักเตะจะคึกคักแค่ไหน แต่ตอนนี้มีเจ้าพ่อใหญ่อย่าง FFP กับ เพดานค่าเหนื่อย คอยจับตาดูอยู่ สโมสรเลยต้องคิดให้ดีๆ ก่อนจะควักกระเป๋าซื้อนักเตะ ยุคนี้การซื้อขายนักเตะไม่ใช่แค่เรื่องในสนามอีกต่อไป มันกลายเป็นเกมธุรกิจที่ต้องใช้ทั้งสมองและไหวพริบ ทีมไหนบริหารเงินเก่ง ก็จะได้นักเตะดีๆ มาเสริมทัพโดยไม่ทำให้บัญชีติดลบ แต่ถ้าใช้เงินแบบมือเติบ ระวังจะจบแบบหายนะ!
ปัจจัยที่ทำให้สโมสรกล้าทุ่มเงินซื้อนักเตะแบบไร้ขีดจำกัด
ฟุตบอลสมัยใหม่ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของแท็กติกและฝีเท้าในสนาม แต่ยังเกี่ยวพันกับเม็ดเงินมหาศาลที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดซื้อขายนักเตะ เราเห็นสโมสรใหญ่ในยุโรปกล้าทุ่มเงินเป็นสถิติเพื่อดึงซูเปอร์สตาร์เข้าสู่ทีม ค่าตัวนีกเตะสูงสุด แต่เบื้องหลังการใช้จ่ายระดับมหาศาลนี้มีปัจจัยอะไรที่ทำให้พวกเขากล้าทุ่มไม่อั้น?
สโมสรที่มีเจ้าของเป็นกลุ่มทุนมหาเศรษฐี
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้บางสโมสรกล้าทุ่มเงินแบบไม่ต้องคิดมาก คือการมีเจ้าของเป็นกลุ่มทุนที่มีความมั่งคั่งมหาศาล ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – เปลี่ยนโฉมสโมสรหลังถูกซื้อกิจการโดย City Football Group ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ชีค มานซูร์ นักธุรกิจและเชื้อพระวงศ์จากอาบูดาบี ทำให้พวกเขาสามารถซื้อนักเตะระดับโลกมาเสริมทีมได้อย่างต่อเนื่อง
- ปารีส แซงต์-แชร์กแมง – สโมสรที่ได้รับการสนับสนุนจาก Qatar Sports Investments (QSI) ซึ่งเป็นบริษัทที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลกาตาร์ พวกเขาทุ่มเงินคว้า เนย์มาร์, คีเลียน เอ็มบัปเป้, ลิโอเนล เมสซี โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเพดานค่าใช้จ่าย
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด – จากทีมกลางตาราง สู่สโมสรเงินถังแห่งพรีเมียร์ลีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เคยเป็นทีมที่ต้องดิ้นรนหนีตกชั้น และไม่ได้มีบทบาทในตลาดซื้อขายนักเตะมากนัก แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปในปี 2021 เมื่อ Public Investment Fund (PIF) หรือกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย กลุ่มทุนเจ้าของสโมสรได้เข้ามาเทกโอเวอร์สโมสร ทำให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในทีมที่มีเจ้าของรวยที่สุดในโลกทันที
เจ้าของใหม่ของนิวคาสเซิลไม่ได้เพียงแค่ลงทุนด้านการซื้อนักเตะเท่านั้น แต่ยังวางโครงสร้างให้สโมสรเดินหน้าไปในทิศทางของความสำเร็จระยะยาว พวกเขาเสริมทีมด้วยผู้เล่นระดับท็อป เช่น บรูโน่ กิมาไรส์, อเล็กซานเดอร์ อิซัค และสเวน บ็อตมัน พร้อมดึงโค้ชอย่าง เอ็ดดี้ ฮาว เข้ามาสร้างทีมให้แข็งแกร่งขึ้น
เงินทองต้องวางแผน – ใช้งบฉลาดกว่าทีมที่ทุ่มไม่ยั้ง
ในขณะที่ทีมอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ แมนฯ ซิตี้ ของชีค มานซูร์ ใช้เงินแบบไม่อั้น นิวคาสเซิล กลับเลือกเดินอีกเส้นทาง พวกเขาไม่ได้รีบร้อนซื้อซูเปอร์สตาร์มาเสริมทีม แต่ค่อยๆ คัดสรรนักเตะที่เข้ากับสไตล์การเล่น และมุ่งเน้นสร้างทีมจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รายได้มหาศาลจากเวทีระดับทวีป
หนึ่งในแหล่งรายได้ที่สำคัญที่สุดของสโมสรยุโรปคือการได้เข้าแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ทีมที่ได้เข้าไปเล่นในรายการนี้สามารถทำรายได้จากเงินรางวัล, ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด, สปอนเซอร์ และการขายตั๋วมากกว่าสโมสรที่พลาดโอกาสไป ตัวอย่างเช่น
- เรอัล มาดริด และ บาเยิร์น มิวนิค – เป็นทีมที่ทำรายได้สูงจากแชมเปียนส์ลีกมาโดยตลอด และมีงบประมาณในการเสริมทัพโดยไม่ต้องพึ่งพาทุนจากเจ้าของสโมสร
- ลิเวอร์พูล และ เชลซี – แม้จะไม่ได้มีเจ้าของที่รวยเท่าสโมสรจากตะวันออกกลาง แต่พวกเขาใช้รายได้จากฟุตบอลยุโรปในการดึงนักเตะระดับท็อปเข้าสู่ทีม
การตลาดและแบรนด์สโมสร รายได้ที่ต่อยอดความแข็งแกร่งทางการเงิน
สโมสรใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, บาร์เซโลนา, และเรอัล มาดริด ไม่ได้รวยเพียงเพราะเจ้าของสโมสร แต่พวกเขามีรายได้จากการตลาด, สปอนเซอร์ และการขายสินค้าอย่างเสื้อแข่งและของที่ระลึก
- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด – มีสปอนเซอร์หลักหลายราย เช่น Adidas, TeamViewer และ Chevrolet ซึ่งช่วยให้พวกเขามีเงินหมุนเวียนแม้จะไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกมาหลายปี
- บาร์เซโลนา – แม้จะมีปัญหาทางการเงินในช่วงหลัง แต่พวกเขาเคยเป็นสโมสรที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลกจากการขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดและสปอนเซอร์
เมื่อเงินไม่ใช่ปัญหา สโมสรจึงต้องการความสำเร็จแบบเร่งด่วน
เมื่อสโมสรมีเม็ดเงินมากพอ พวกเขามักไม่อยากรอความสำเร็จจากการปั้นดาวรุ่งหรือสร้างทีมระยะยาว แต่เลือกใช้วิธี “ซื้อตัวจบ” หรือ การทุ่มเงินดึงนักเตะระดับโลกเข้ามาเพื่อให้ทีมแข็งแกร่งขึ้นในทันที
- ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ใช้เงินซื้อนักเตะเกือบทุกตำแหน่งจนกลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในอังกฤษ
- ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ใช้เงินสร้างทีมรวมดารา เพื่อหวังพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก
แต่การใช้เงินมากไม่ได้แปลว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป สโมสรต้องบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และเลือกซื้อนักเตะที่เหมาะสมกับระบบของทีม มิฉะนั้นอาจกลายเป็นกรณีของ บาร์เซโลนา ที่ทุ่มเงินซื้อนักเตะราคาแพง แต่กลับล้มเหลวในสนาม
เอ๊ะ! ทำไมบางทีมถึงกล้าทุ่มสุดตัว?
ง่ายๆ เลยครับ เพราะพวกเขามีทุนหนาแน่น! ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของทีมที่พร้อมควักกระเป๋าแบบไม่อั้น รายได้ก้อนโตจากการแข่งขันในยุโรป หรือรายได้จากการตลาดที่ทำให้พวกเขาใช้เงินได้คล่องมือ แถมหลายทีมก็อยากเห็นผลเร็วๆ เลยยอมทุ่มเงินซื้อความสำเร็จแทนที่จะค่อยๆ สร้างทีมไปทีละก้าว จริงๆ แล้วตลาดซื้อขายนักเตะสมัยนี้มันเลยกลายเป็นเกมของคนมีเงินไปแล้ว ใครมีเงินเยอะก็มีโอกาสคว้าแชมป์มากกว่า แต่ก็ไม่ได้แปลว่าทีมที่รวยที่สุดจะต้องเก่งที่สุดเสมอไปนะ แค่มีโอกาสมากกว่าทีมที่ไม่มีเงินไปซื้อซูเปอร์สตาร์มาเสริมทัพเท่านั้นเอง
กฎการเงินมีผลต่อการใช้จ่ายของสโมสรอย่างไร?
FFP กับข้อจำกัดที่บีบให้ทีมต้องใช้เงินอย่างระมัดระวัง
เมื่อก่อน สโมสรที่มีเจ้าของเป็นมหาเศรษฐีสามารถทุ่มเงินซื้อนักเตะระดับโลกได้แบบไม่ต้องกังวลเรื่องงบประมาณ แต่เมื่อกฎไฟแนนเชียล แฟร์ เพลย์ (FFP) ถูกนำมาใช้ สโมสรต้องวางแผนเรื่องการเงินให้รอบคอบขึ้น เพราะหากใช้จ่ายเกินกว่ารายรับที่หามาได้ อาจถูกยูฟ่าลงโทษ เช่น ปรับเงิน แบนจากการแข่งขัน หรือแม้แต่ถูกลดจำนวนผู้เล่นที่ลงทะเบียนในรายการยุโรป
ซึ่งกฎ Financial Fair Play คือ กำหนดว่าทีมต้องมี “รายรับสมดุลกับรายจ่าย” ซึ่งหมายความว่า สโมสรไม่สามารถใช้เงินเกินตัวได้ หากไม่มีรายได้เข้ามาสมทบ ทีมที่ใช้เงินมากกว่ารายรับ ต้องมีวิธีการบริหารการเงินที่ดี หรือหาแหล่งรายได้เพิ่มเติม เช่น การขายนักเตะ การทำสัญญาสปอนเซอร์ หรือการเพิ่มยอดขายสินค้าและตั๋วเข้าชมเกม
ทีมที่ได้รับผลกระทบและต้องปรับตัว
แม้ว่ากฎ FFP จะมีเป้าหมายเพื่อรักษาสมดุลทางการเงินในวงการฟุตบอล แต่หลายสโมสรใหญ่ต้องเผชิญปัญหาในการบริหารงบประมาณ จากการทุ่ม ค่าตัวนักเตะสูงสุด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – เคยโดนยูฟ่าสั่งแบนจากการแข่งขันในรายการยุโรปเป็นเวลา 2 ปีในปี 2020 จากข้อกล่าวหาว่าใช้เงินเกินตัวและปกปิดรายได้บางส่วน อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถอุทธรณ์ผ่านศาลกีฬาโลก (CAS) และพ้นโทษแบน
- ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (PSG) – เป็นอีกหนึ่งทีมที่ถูกจับตามองเรื่องการใช้เงินซื้อนักเตะค่าตัวแพง เช่น เนย์มาร์ (222 ล้านยูโร) และ คีเลียน เอ็มบัปเป้ (180 ล้านยูโร) ทำให้พวกเขาต้องปรับตัวโดยการขายนักเตะบางส่วนเพื่อรักษาสมดุลทางการเงิน
- อินเตอร์ มิลาน – เคยโดนลงโทษจากการใช้เงินเกินตัว ทำให้พวกเขาต้องขายนักเตะตัวหลักออกไปเพื่อให้สอดคล้องกับกฎ FFP และลดภาระค่าเหนื่อยของทีม
สโมสรต้องปรับตัวอย่างไรเมื่อกฎ FFP มาบีบ?
กฎนี้ทำให้หลายสโมสรต้องคิดหนักเรื่องการหารายได้เพิ่ม หนึ่งในทางออกที่เห็นกันบ่อยๆ คือ การขายนักเตะ อย่างกรณีของบาร์ซ่าที่เจอปัญหาการเงินหนักหนาสาหัส จนต้องยอมปล่อยซูเปอร์สตาร์อย่างเมสซีและกรีซมันน์ออกจากทีม นอกจากนี้อีกวิธีที่ทีมดังๆ ชอบใช้คือ การดึงสปอนเซอร์รายใหญ่ เข้ามาอัดฉีด อย่างเช่นแมนฯ ซิตี้ ที่จับมือกับ เอทิฮัด แอร์เวย์ส หรือเปแอสเช ที่มีแบรนด์ระดับโลกหลายรายหนุนหลัง ทำให้พวกเขายังคงความเป็นทีมบิ๊กเนมที่มีเงินใช้จ่ายแบบไม่อั้นได้ต่อไป
ผลกระทบของกฎเพดานค่าเหนื่อยต่อการใช้เงินซื้อนักเตะ
สโมสรต้องรัดเข็มขัดเรื่องค่าใช้จ่าย
ทุกวันนี้เมื่อมีกฎเพดานค่าเหนื่อยเข้ามา สโมสรที่เคยใช้เงินแบบไม่อั้นก็ต้องหันมาบริหารการเงินอย่างรอบคอบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนงบประมาณใหม่ ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หรือต้องคิดให้หนักก่อนจะทุ่มเงินซื้อนักเตะดัง ทีมใหญ่ที่เคยดึงซูเปอร์สตาร์ด้วยค่าเหนื่อยก้อนโต ก็ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีก่อนจะยื่นข้อเสนอ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ อย่าง พรีเมียร์ลีก ที่กำลังจะออกกฎใหม่อย่าง Spending Cap และ Squad Cost Control ซึ่งจะควบคุมให้ทีมใช้เงินกับค่าเหนื่อย ค่าตัวนักเตะ และค่าธรรมเนียมเอเยนต์ได้แค่ 70-85% ของรายได้ทั้งหมด นี่หมายความว่า การซื้อนักเตะแพงๆ จะยากขึ้น เพราะถ้าทีมจ่ายค่าเหนื่อยจนเกือบถึงเพดาน ก็อาจต้องขายนักเตะเก่าออกไปก่อนที่จะซื้อหน้าใหม่เข้ามาได้
ทีมดังต้องปรับตัวเรื่องการใช้เงิน
ถ้าพูดถึงทีมที่มีทุนหนาอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และนิวคาสเซิล พวกเขาก็ต้องหันมาคิดหนักเรื่องการบริหารเงิน โดยมองหาช่องทางสร้างรายได้แบบอื่นๆ เพิ่มเติม
- หนึ่งในวิธียอดฮิตคือการดึงสปอนเซอร์เงินหนาเข้ามา อย่างที่ แมนฯ ซิตี้ จับมือกับ Etihad Airways หรือ เปแอสเช ที่ได้ Qatar Airways มาหนุนหลัง
- อีกทางเลือกคือการทำสัญญาเรื่องลิขสิทธิ์และภาพลักษณ์ต่างๆ รวมถึงการจับมือกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ
- นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการผ่อนจ่ายค่าตัวนักเตะ (Amortisation) แบบยืดระยะยาว เพื่อไม่ให้งบประมาณกระจุกตัว
ถึงแม้จะมีกฎระเบียบออกมาควบคุมการใช้เงินของทีมรวย แต่ก็ยังมีช่องทางให้พวกเขาหาทางออกได้อยู่ดี
นักเตะจะมีตัวเลือกย้ายทีมลดลง?
อีกผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นคือ นักเตะระดับโลกที่เคยได้รับค่าเหนื่อยมหาศาล อาจต้องลดความคาดหวัง เพราะทีมที่พร้อมจ่ายในระดับสูงจะมีข้อจำกัดด้านการเงินมากขึ้น บางคนอาจเลือกย้ายไปเล่นในลีกที่ยังไม่มีข้อจำกัด เช่น ลีกซาอุดีอาระเบีย หรือ เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ (MLS) ที่ยังสามารถทุ่มค่าเหนื่อยได้เต็มที่ กฎเพดานค่าเหนื่อยกำลังเปลี่ยนแปลงแนวทางการใช้จ่ายของสโมสร ทำให้ทีมต้องคุมงบประมาณมากขึ้น และอาจส่งผลต่อโอกาสในการคว้าตัวนักเตะระดับโลก
ทีมไหนเคยโดนลงโทษจากการใช้เงินเกินขีดจำกัด?
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – ทีมที่รอดจากแบนยุโรปแบบหวุดหวิด
หนึ่งในกรณีที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เคยถูก ยูฟ่า ลงโทษแบนจากการแข่งขันยุโรปเป็นเวลา 2 ปีในปี 2020 หลังจากถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎ Financial Fair Play (FFP) โดยการปลอมแปลงรายรับสปอนเซอร์เพื่อให้ดูเหมือนว่าสโมสรมีรายรับมากกว่าความเป็นจริง
แต่สุดท้าย ซิตี้สามารถอุทธรณ์ชนะที่ศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา (CAS) ทำให้บทการลงโทษ FFP ถูกยกเลิก แต่ก็ยังต้องจ่ายค่าปรับ 10 ล้านยูโร อย่างไรก็ตาม พรีเมียร์ลีกยังคงมีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้เงินของแมนฯ ซิตี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบในอนาคต
อินเตอร์ มิลาน และ เอซี มิลาน – ยักษ์ใหญ่ที่เคยโดนควบคุมการเงิน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อินเตอร์ มิลาน และ เอซี มิลาน เคยถูกควบคุมด้านการเงินอย่างเข้มงวดจาก ยูฟ่า เนื่องจากมีปัญหาทางการเงินและละเมิดกฎ FFP
- อินเตอร์ มิลาน เคยถูกจำกัดการซื้อนักเตะในตลาดซื้อขาย และถูกปรับเงินจากการละเมิดกฎการเงิน
- เอซีมิลาน เคยถูกแบนจากการแข่งขัน ยูโรปาลีก ในปี 2019 เนื่องจากมีปัญหาด้านงบประมาณและรายรับที่ไม่สมดุล
ปารีส แซงต์-แชร์กแมง – ทีมที่ต้องเจอศึกหนักกับยูฟ่า
ใครๆ ก็รู้ว่าเปแอสเชเป็นทีมที่ชอบควักกระเป๋าซื้อนักเตะแบบไม่อั้น จนเป็นที่จับตามองมาตลอด โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาทุ่มเงินมหาศาลซื้อทั้ง เนย์มาร์ (222 ล้านยูโร) และ เอ็มบัปเป้ (180 ล้านยูโร) แบบรัวๆ งานนี้ยูฟ่าถึงกับต้องเข้ามาจัดการ สุดท้ายทีมดังจากปารีสก็ต้องยอมขายนักเตะออกหลายราย เพื่อให้บัญชีรายรับ-รายจ่ายดูดีขึ้นตามกฎ FFP
บทลงโทษที่สโมสรอาจได้รับจากการละเมิดกฎการเงินในฟุตบอล
- ปรับเงินจำนวนมหาศาล – กรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ แมนฯ ซิตี้ ที่ถูกปรับ 10 ล้านยูโร และ อินเตอร์ มิลาน ที่เคยถูกปรับเงินอย่างหนักจากการละเมิดกฎ FFP
- ตัดแต้มในลีก – ล่าสุดมีกรณีของ เอฟเวอร์ตัน ที่ถูกหักแต้ม 10 คะแนน และ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ที่ถูกตัดแต้มจากการทำผิดกฎ Profit and Sustainability Rules (PSR) ของพรีเมียร์ลีก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการหนีตกชั้น
- ห้ามลงทะเบียนนักเตะใหม่ – กรณีที่โด่งดังคือ บาร์เซโลนา ที่เคยถูกห้ามลงทะเบียนนักเตะใหม่เป็นเวลาสองตลาดซื้อขาย เนื่องจากปัญหาทางการเงินและการละเมิดกฎการลงทะเบียนนักเตะเยาวชน
- แบนจากการแข่งขันระดับยุโรป – หนึ่งในบทลงโทษที่รุนแรงที่สุด เช่นกรณีของ เอซี มิลาน ที่เคยถูกแบนจากการแข่งขัน ยูโรปาลีก ซึ่งส่งผลกระทบทั้งด้านชื่อเสียงและรายได้ของสโมสร
ถึงแม้จะมีกฎเข้มงวดแบบนี้ แต่ความจริงก็คือ ทีมใหญ่ๆ ที่มีทีมทนายและนักการเงินเก่งๆ ก็มักจะหาทางเลี่ยงกฎพวกนี้ได้เสมอ บางทีก็แค่ต้องจัดการตัวเลขให้ดูดี หรือไม่ก็หาช่องโหว่ในกฎหมายเพื่อเลี่ยงการโดนลงโทษ ก็เลยทำให้กฎที่ตั้งมาเพื่อควบคุมการใช้เงินของทีม ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่
ภาพตลาดนักเตะยุคนี้คล้ายการประมูลศิลปะระดับโลก ที่ทุกสโมสรยื่นซองประมูลด้วยตัวเลขที่ทำให้แฟนบอลถึงกับสะดุด! ไม่ว่าจะเป็น เนย์มาร์ กับดีล 222 ล้านยูโรสัญชาติกาตาร์ของปารีส แซงต์-แชร์กแมง ฟิลิปเป้ โกชิญโญ ที่แอตเลติโก มาดริดทุ่มเงินก้อนโต หรือ แจ็ค กรีลิช นักเตะล้านปอนด์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้—ตัวเลขเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนความสามารถบนสนาม แต่ยังเป็นสัญญาณว่า “กระเป๋าเงินลึก” ของสโมสรสามารถสั่นสะเทือนตลาดลูกหนังได้ทั้งทวีป
แต่เบื้องหลังสถิติค่าเหนื่อยที่พุ่งทะลุเมฆ กลับมีเกมการเงินที่ซับซ้อนกว่าที่คิด! สโมสรอย่าง แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี ถูกตั้งคำถามถึงรายได้มหาศาลจากสปอนเซอร์ลึกลับ ขณะที่ เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลนา ยังคงใช้แบรนด์ค่าดึงดูดนักเตะระดับตำนานแบบไม่สะทกสะท้าน… แล้วทีมไหนคือ “ราชาแห่งการเปย์” ที่ไม่เคยกลัวคำว่าคุ้มค่า? ความจริงคือ ในสนามฟุตบอลยุคใหม่ “เงิน” คือกองหน้าตัวจริง ที่ตัดสินชะตาการแข่งขัน และนี่คือเรื่องราวของสโมสรที่พร้อมทุบสถิติตลาดนักเตะ แค่กระดิกนิ้วก็สั่นคลอนสมดุลทั้งวงการ!
คำถามที่พบบ่อย
1. สโมสรที่ใช้เงินซื้อนักเตะมากที่สุดในโลกคือทีมไหน?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (PSG) และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นสองทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องการทุ่มเงินซื้อนักเตะระดับโลก โดย PSG เป็นเจ้าของดีลที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล จากการคว้า เนย์มาร์ ด้วยค่าตัว 222 ล้านยูโร ในปี 2017 ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ใช้เงินมหาศาลในการเสริมทัพอย่างต่อเนื่องเพื่อครองความยิ่งใหญ่ในพรีเมียร์ลีก
2. ทำไมค่าตัวนักเตะถึงพุ่งสูงขึ้นทุกปี?
ค่าตัวนักเตะเพิ่มขึ้นเพราะปัจจัยหลายอย่าง ทั้ง ความต้องการของตลาด การแข่งขันของสโมสรใหญ่ และอิทธิพลของกลุ่มทุนมหาเศรษฐี สโมสรต้องการเสริมทัพเพื่อความสำเร็จ ทำให้ต้องทุ่มเงินดึงตัวผู้เล่นระดับท็อปมาให้ได้ นอกจากนี้ รายได้จากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดที่เพิ่มขึ้นทุกปี ก็ทำให้แต่ละทีมมีงบประมาณใช้จ่ายมากขึ้น
3. กฎ Financial Fair Play (FFP) มีผลต่อการซื้อนักเตะอย่างไร?
กฎ FFP ถูกออกแบบมาเพื่อ ควบคุมไม่ให้สโมสรใช้เงินเกินกว่ารายรับที่หาได้ ส่งผลให้หลายทีมต้องหาทางปรับงบประมาณให้เหมาะสม สโมสรที่ละเมิดกฎนี้อาจโดน แบนจากการแข่งขันยุโรป หรือถูกปรับเงิน อย่างไรก็ตาม หลายทีมยังหาช่องโหว่ของกฎนี้ เช่น การทำดีลสปอนเซอร์ที่มีมูลค่าสูง หรือการใช้สัญญาระยะยาวเพื่อลดค่าใช้จ่ายต่อปี
4. ทีมไหนเคยถูกลงโทษจากการใช้เงินเกินขีดจำกัด?
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยถูกลงโทษจากยูฟ่าโดยถูกแบนจากแชมเปียนส์ลีก 2 ปี (แต่ชนะอุทธรณ์) เนื่องจากละเมิดกฎ FFP ด้าน อินเตอร์ มิลาน และ เอซี มิลาน ก็เคยถูกตรวจสอบเรื่องงบประมาณและถูกจำกัดการซื้อนักเตะ ขณะที่ บาร์เซโลนา ประสบปัญหาทางการเงินจนต้องปล่อยนักเตะหลักออกไปเพื่อลดภาระค่าเหนื่อย